นางสาวเจนจิรา สีหราช*
การประกอบอาชีพของชุมชนในสังคมไทยสมัยโบราณนั้น เป็นลักษณะของการผลิตเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อใช้ในการยังชีพ เมื่อมีผลผลิตเหลือใช้จึงนำมา แลกเปลี่ยนซื้อขายกันจนเกิดเป็นกิจกรรมทางการค้า การผลิตสินค้าตามความชำนาญของคนแต่ละชุมชนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะและนำมาใช้เป็นชื่อเรียกขานชุมชนนั้น ๆ เรื่อยมา เช่น บ้านลาน เป็นชุมชนผลิตสินค้าที่ทำจากใบลาน บ้านบาตร เป็นชุมชนที่มีฝีมือในการทำบาตรพระ บ้านพานถม เป็นชุมชนช่างฝีมือที่ประกอบอาชีพทำเครื่องถมประเภทขันน้ำและพานรองบางลำพูเป็นย่านชุมชนเก่าแก่ที่มีการตั้งถิ่นฐานของผู้คนมาตั้งแต่สมัยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์มีความสำคัญด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม และมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ อันก่อให้เกิดความหลากหลายของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมที่สืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่องชุมชนย่านบางลำพู ปรากฏชื่อ "บ้านลาน” ซึ่งเป็นชื่อหมู่บ้านในอดีต ตั้งอยู่บริเวณปากคลองบางลำพู ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นแหล่งค้าขายและทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากใบลาน ตลาดค้าใบลานในพระนครจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นที่นี่ จนชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า "บ้านลาน” ปัจจุบันความนิยมใช้ใบลานลดลงอย่างมาก บ้านลานที่เคยเป็นตลาดค้าขายใบลานที่คึกคักในอดีต จึงค่อยเริ่มสูญหายไป จากเดิมที่เคยเป็นย่านการค้าใบลานที่สำคัญ ปัจจุบันหลงเหลือหลักฐานเพียง "ร้านลานทอง” ร้านค้าใบลานแห่งสุดท้ายในย่านบางลำพู
การค้าใบลานในย่านบางลำพู
ใบลานเป็นวัสดุธรรมชาติที่คนไทยรู้จักนำมาทำประโยชน์ใช้สอยมาช้านานแล้ว เช่น คัมภีร์ใบลาน ตำราเรียนของพระสงฆ์ สิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน จนพัฒนาเป็นการค้าที่คนไทยทำมาตั้งแต่สมัยโบราณ ในสมัยกรุงธนบุรี มีชุมชนบ้านลาน ตั้งอยู่บริเวณปากคลองบางลำพู ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นแหล่งค้าขายใบลานที่สำคัญ เดิมเป็นชุมชนชาวมอญที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีหัวหน้าปกครอง คือ พระราชสงคราม (สวาสดิ์) ขุนนางเชื้อสายมอญ ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตผูกขาดแหล่งปลูกต้นลาน ที่บ้านบางตะไน จังหวัดนนทบุรี ตัดใบลาน และนำขนส่งทางเรือมาขึ้นท่าบริเวณบางลำพู เพื่อให้ชาวบ้าน ทำใบลานและผลิตเป็นสินค้าจำหน่าย
ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ชุมชนบ้านลานแห่งนี้มีอีกชื่อหนึ่ง คือ บ้านบางขุนพรหม เนื่องจากหลวงวิสุทธิโยธามาตย์ (ตรุษ) บุตรชายของพระราชสงคราม ได้ยกที่ดินบริเวณเหนือปากคลองบางลำพูในเขตชุมชนบ้านลาน สร้างเป็นวัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ขุนพรหม (สารท) ผู้เป็นน้องชาย ซึ่งเสียชีวิตด้วยไข้ป่าระหว่างปฏิบัติหน้าที่เป็นนายช่างควบคุมการก่อสร้างและปฏิสังขรณ์มณฑปพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี และใช้ชื่อว่า "วัดบางขุนพรหม” ตามชื่อของขุนพรหม ด้วยเหตุนี้ชื่อของบ้านลานในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์จึงมักพ่วงด้วยย่านบางขุนพรหม "บ้านลาน ย่านบางขุนพรหม” อันเป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกพื้นที่บริเวณนี้ตามชื่อวัดบางขุนพรหม ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดสามพระยา
ในพื้นที่บริเวณบ้านลาน ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีต้นลาน หรือต้นไม้ในตระกูลเดียวกันขึ้นอยู่บริเวณนั้น เนื่องจากต้นลานเป็นไม้ยืนต้น มีขนาดใหญ่ ขึ้นตามป่าหรือที่ราบตามหุบเขา ดังนั้น บริเวณบ้านลาน ย่านบางขุนพรหม ไม่ใช่แหล่งปลูกต้นลาน แต่เป็นเพียงชุมชนที่ผลิตสินค้าจากใบลานเพื่อจำหน่าย โดยนำใบลานมาจากป่าลานที่ต่าง ๆ และขนส่งมาทางเรือ ด้วยเหตุที่ชุมชนบ้านลาน มีที่ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำเจ้าพระยาจึงมีบทบาทเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าที่สำคัญ ประกอบกับในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีลำคลองโครงข่ายที่ผ่ากลางชุมชน ได้แก่ คลองบางขุนพรหม ปากคลองเริ่มต้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไหลผ่านวัดสามพระยา เส้นทางติดต่อสัญจรทางน้ำจึงเป็นเส้นทางสำคัญที่ใช้ขนส่งสินค้า
แผนที่ แสดงให้เห็นคลองบางขุนพรหมในอดีต เป็นคลองที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา
พบหลักฐานการประกอบอาชีพตัดใบลานในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยปรากฏในพระราชนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่อง ความไข้ที่เมืองเพชรบูรณ์ ว่ามีราษฎรทำอาชีพตัดใบลานในป่าใกล้แม่น้ำป่าสัก อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ป่าลานที่หล่มสักมีต้นลานมากกว่าที่อื่น ต้นสูงใหญ่ ใบยาว 6 ศอก ชาวบ้านที่นี่ตัดลานและส่งไปขายยังเมืองอื่น และในตอนปลายสมัยรัชกาลที่ 5 มีคหบดี ชื่อขุนเทพ เป็นผู้ชักนำให้ชาวบ้านตัดใบลานที่ป่าลานบ้านมะนาวหวาน อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี และบรรทุกเรือล่องมาขายในแหล่งค้าลาน จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ จังหวัดอยุธยา คลองบางขุนเทียน คลองบางกรวย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตงอบ และแหล่งค้าลานในตำบลบางขุนพรหม ซึ่งเป็นแหล่งผลิตลานสำหรับนำไปจารหนังสือ โดยผู้ที่ซื้อใบลานในขณะนั้นจะต้องสั่งในปริมาณที่เพียงพอสำหรับค้าขายทั้งปี เพราะชาวบ้านจะตัดใบลานตามความต้องการของตลาด ด้วยเหตุนี้ ผู้ค้าใบลานสมัยนั้นจำเป็นต้องมีทุนสูง ส่วนผู้ที่มีทุนน้อยก็ไม่สามารถดำเนินกิจการได้ ทางราชการจึงเข้ามาช่วยเหลือให้ผู้มีทุนน้อยได้มีโอกาสค้าขายใบลาน โดยกรมสรรพากรได้เข้ามาควบคุมการตัดใบลาน จึงเริ่มมีการจัดเก็บอากรป่าลาน และมีหลักฐานว่ามีการนำใบลานมาเก็บไว้ ณ โรงเก็บลาน 2 แห่ง ได้แก่ โรงเก็บใบลานในจังหวัดอยุธยา และโรงเก็บใบลานบริเวณคลองบางขุนพรหม โรงเก็บลานทั้งสองแห่งสามารถเก็บใบลานได้จำนวนมาก โดยกรมสรรพากรเป็นผู้ขาย หากซื้อใบลาน 2,000 ใบ จะได้ในราคา ใบละ 2.50 บาท หรือ 3.50 บาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของใบลาน
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 ประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ธุรกิจการค้าใบลานก็ได้รับผลกระทบ ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 กิจการการค้าใบลานก็ยังไม่ดีขึ้น กรมสรรพากรจึงเลิก ค้าใบลาน และโอนงานมาให้กรมป่าไม้ดูแล ซึ่งเปิดโอกาสให้เอกชนค้าใบลานได้ โดยต้องยื่นขออนุญาตแก่ทางราชการ และเสียค่าบำรุงตามพระราชบัญญัติป่าไม้ กิจการการค้าใบลานเริ่มดีขึ้น จนในปี 2484 รัฐบาลโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับวัฒนธรรมหลายอย่างเพื่อให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศ โดยออกรัฐนิยมฉบับที่ 10 ลงวันที่ 15 มกราคม 2484 ว่าด้วยเรื่องเครื่องแต่งกายของประชาชนชาวไทย ซึ่งกำหนดให้ชาวไทยต้องแต่งกายสุภาพเรียบร้อยตามรัฐนิยม กระทรวงมหาดไทยได้ออกคำแนะนำให้ชายหญิงแต่งกายสุภาพเรียบร้อย และสวมหมวกตามแบบอย่างตะวันตก ด้วยคำขวัญที่ว่า "สวมหมวก ไว้ผมยาว นุ่งถุง สวมเสื้อ สวมถุงเท้าหุ้มส้นหรือรัดส้น” ชาวบ้านโดยทั่วไปจึงนิยมสวมหมวกที่ทำจากใบลาน เนื่องจากเป็นของที่หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง ส่งผลให้การค้าขายใบลานในยุคนั้นเฟื่องฟู
ต่อมาความนิยมใช้ใบลานลดลงอย่างมาก เนื่องจากป่าลานตามธรรมชาติลดน้อยลง ใบลานหายาก และมีราคาแพง เมื่อเทียบกับวัสดุอื่นที่สามารถใช้ทดแทนกันได้ ธุรกิจการค้าใบลานจึงไม่รุ่งเรืองเหมือนแต่ก่อน ร้านค้าใบลานหลายร้านจึงทยอยปิดตัว จากคำบอกเล่าของนางสาวฐิติชญา วีระชาลี ชาวบ้านดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในบริเวณชุมชนวัดสามพระยา เล่าว่า เคยสนทนากับคุณยายท่านหนึ่ง อายุประมาณ 80 ปี คุณยายเคยทำลาน โดยรับลานมาจากที่อื่น นำมาตากและเผา ปัจจุบันไม่มีบ้านใดในชุมชนวัดสามพระยาประกอบอาชีพค้าขายใบลาน มีเพียงร้านลานทองซึ่งเป็นร้านสุดท้ายที่ยังหลงเหลือหลักฐานให้เราได้ศึกษา
ภาพถ่ายสตรีสวมหมวก บริเวณท่าเทียบเรือเทศบาลเมืองราชบุรี มีป้ายข้อความระบุว่า "คนไทยที่สวมหมวก คือ สุภาพชนที่รักชาติ”
การแต่งกายของสตรีชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชที่ถูกต้องตามรัฐนิยมในสมัยก่อน
ร้านลานทอง: ร้านค้าใบลานแห่งสุดท้ายในย่านบางลำพู
"ร้านลานทอง” เป็นร้านค้าใบลานแห่งสุดท้ายในย่านบางลำพู ตั้งอยู่บริเวณปากทางเข้าซอยสามเสน 5 ถนนพายัพ ซึ่งในอดีตเป็นคลองบางขุนพรหม ปัจจุบันปิดกิจการไปแล้ว ประวัติของร้านลานทอง มีจุดเริ่มต้นในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 5 มีคหบดีคู่หนึ่ง นามว่า นายสุด และนางแพ ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลบางขุนพรหม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้กับวัดสามพระยา ประกอบอาชีพค้าขายใบลาน และรู้จักสนิทสนมกับนางฟู ศรีโกเศศ จึงได้ถ่ายทอดความรู้และมอบเครื่องมือในการทำใบลานทั้งหมดให้ นางฟู ศรีโกเศศ จึงเริ่มกิจการค้าขายใบลานนับแต่นั้นมา และนับเป็นเจ้าของกิจการร้านลานทอง รุ่น ที่ 1 เมื่อนางฟู ศรีโกเศศ เสียชีวิต กิจการร้านลานทองจึงตกทอดมายังนางศิริ สิทธิสรเดช ผู้เป็นบุตรสาว และดำเนินกิจการค้าขายใบลานร่วมกับสามี คือ ร้อยเอกถนอม สิทธิสรเดช โดยได้สัมปทานทำป่าลานเอง ป่าลานที่ร้านลานทองทำสัมปทานในขณะนั้น ได้แก่ ป่าลาน ในจังหวัดเพชรบูรณ์ ป่าลานตำบลท่าริด จังหวัดสระบุรี ป่าลานตำบลมะนาวหวาน จังหวัดสระบุรี ป่าลาน ในจังหวัดขอนแก่น และป่าลานที่อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ กิจการของร้านลานทองในช่วงแรกเริ่ม คือ การจัดทำคัมภีร์ใบลาน และตำราทางพระพุทธศาสนา
หลวงศรีทิพภักดี เจ้าของกิจการร้านลานทอง รุ่นที่ 1
นางฟู ศรีโกเศศ เจ้าของกิจการร้านลานทอง รุ่นที่ 1
ร้อยเอกถนอม สิทธิสรเดช เจ้าของกิจการร้านลานทอง รุ่นที่ 2
นางศิริ สิทธิสรเดช เจ้าของกิจการร้านลานทอง รุ่นที่ 2
ในปี 2473 ประเทศไทยเริ่มประสบปัญหาเศรษฐกิจ การค้าผลิตภัณฑ์ใบลานก็ได้รับผลกระทบ ผู้ที่มีต้นทุนน้อยต้องหันไปประกอบอาชีพอื่น ร้านลานทองก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจในขณะนั้นเช่นเดียวกัน แต่ยังคงดำเนินกิจการมาได้เนื่องจากเป็นร้านที่ดำเนินกิจการในครอบครัว ไม่ต้องเช่าตึกหรือสถานที่ ประกอบกับร้อยเอกถนอม ยังมีรายได้จากการรับราชการอีกทางหนึ่ง ในช่วงที่เศรษฐกิจการค้าฝืดเคือง ขุนโสภิตอักษรการ ผู้เป็นเจ้าของโรงพิมพ์ไทย ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการจารหนังสือลงใบลาน จากการจารด้วยมือ เป็นการพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ โดยต้องใช้หมึกพิมพ์ที่แห้งเร็ว และต้องนำใบลานที่พิมพ์แล้วไปผึ่งให้แห้งสนิท ต่อมาได้มีโรงพิมพ์ แถวเสาชิงช้าประตูผี และถนนตะนาวจัดพิมพ์ใบลานขึ้นเอง จนกระทั่งกรมศาสนาได้จัดตั้งโรงพิมพ์กรมการศาสนา เพื่อจัดพิมพ์พระไตรปิฎก ด้วยเหตุที่มีโรงพิมพ์หลายโรงพิมพ์จัดพิมพ์หนังสือใบลาน จึงส่งผลให้การค้าใบลาน กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง




ภาพการจัดแสดงแบบจำลองร้านทอง และเครื่องอัดใบลาน ณ พิพิธบางลำพู
กองจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร. จดหมายเหตุการณ์อนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: สหประชาพาณิชย์. 2525.
กรมศิลปากร. พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 2. กรุงเทพฯ: คลังวิทยา. 2516.
รังสรรค์ ธนะพรพรรณ. ภาษีอากร ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย คลังข้อมูลและบทสำรวจทางสถานะวิชาการ. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ม.ป.ป.
ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย. ชื่อบ้านนามเมืองในกรุงเทพฯ. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ: มติชน. 2551.
สุภาพรณ์ จินดามณีโรจน์ และคณะ. ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ย่านเก่าในกรุงเทพมหานคร. รายงานการสำรวจ บันทึกข้อมูลพื้นที่ ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ (240 รายการ). กรุงเทพฯ: เอราวัณการพิมพ์. 2554.
อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ร้อยเอกถนอม สิทธิสรเดช ณ เมรุวัดมกุฎกษัตริยาราม วันที่ 22 ธันวาคม 2512.
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม . (ออนไลน์) เข้าถึงเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2562. เข้าถึงได้จากhttp://www.qsbg.org/Database/plantdb/herbarium
ดำรงราชานุภาพ. สมเด็จฯ กรมพระยา. นิทานโบราณคดี , (ออนไลน์) เข้าถึงเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2562. เข้าถึงได้จาก https://vajirayana.org/นิทานโบราณคดี/นิทานที่-10-เรื่องความไข้ที่เมืองเพชรบูรณ์
ปราณี กล่ำส้ม. ย่านเก่าในกรุงเทพ. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. 2545.
บทสัมภาษณ์ นางสาวฐิติชญา วีระชาลี. (ออนไลน์) เข้าถึงเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2562. เข้าถึงได้จาก https://www.youtube.com/watch?v=78SYp086naA